- กระทู้ ผู้เขียน
- #1
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้มีการปรับอัตราภาษีสุราและยาสูบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการควบคุมการบริโภคสุราและยาสูบให้อยู่ในระดับเหมาะสม และทำให้สะท้อนถึงความแรงของแอลกอฮอล์มากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังจึงดำเนินการปรับขึ้นอัตราภาษีสุราและยาสูบ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันที
ทั้งนี้ การปรับภาษีดังกล่าว ได้แก่ 1.สุราขาว จากเดิมจัดเก็บภาษีตามมูลค่าในอัตรา 25% และอัตราตามปริมาณ 70 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพิ่มขึ้นเป็นคิดตามมูลค่า 50% และเก็บตามปริมาณเพิ่มเป็น 110 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกสุราขาว 28-40 ดีกรี ขนาด 0.625 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 9-12 บาทต่อขวด
2.สุราผสม จากเดิมเก็บภาษีในอัตรา 50% และเก็บตามปริมาณ 240 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์นั้น ได้ปรับเพิ่มในส่วนของการเก็บตามปริมาณเป็น 280 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ส่งผลให้ราคาขายปลีกสุราผสม 28-35 ดีกรี ขนาด 0.625 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 9-12 บาทต่อขวด
3.สุราพิเศษประเภทบรั่นดีจากเดิมเก็บภาษีตามมูลค่าในอัตรา 40% และจัดเก็บตามปริมาณ 400 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพิ่มเฉพาะในส่วนของการจัดเก็บตามมูลค่าเป็น 45% ส่วนตามปริมาณคงเดิม ส่งผลให้ราคาขายปลีกบรั่นดี 38-40 ดีกรี ขนาด 0.640 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 0-91 บาทต่อขวด
4.ปรับเพิ่มค่าแสตมป์ยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต จากเดิมจัดเก็บตามมูลค่าที่ 79% เพิ่มเป็น 80% เต็มเพดาน ส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่ในประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 บาทต่อซอง และบุหรี่นำเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 บาทต่อซอง
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ผลจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสุราและยาสูบดังกล่าวเป็นอัตราที่เหมาะสม น่าจะช่วยให้ปริมาณการบริโภคสุราลดลงประมาณ 60-65 ล้านลิตรต่อปี และการบริโภคยาสูบประเภทซิกาแรตจะลดลงประมาณ 20 ล้านซองต่อปี อีกทั้งยังช่วยลดรายจ่ายของรัฐบาลด้านการรักษาผู้ป่วยด้วย ขณะเดียวกัน ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้จากการปรับเพิ่มภาษี 2 ประเภท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาทต่อปี
ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับประโยชน์ครั้งนี้ คือ เบียร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ สปาย เนื่องจากต้องการสนองนโยบายรัฐที่ต้องการให้ประชาชนดื่มเหล้าดีกรีต่ำแทนดีกรีสูงที่ทำลายสุขภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้มีการพิจารณาว่าจะปรับขึ้นภาษีเบียร์ด้วย แต่พบว่าขณะนี้เบียร์ ซึ่งจัดเก็บภาษีตามมูลค่าเมื่อแปรมาเป็นการจัดเก็บตามปริมาณจ่ายภาษีสูงกว่าเหล้ากลั่นอยู่กว่า 320 บาทต่อลิตร อีกทั้งดีกรีเบียร์ก็ต่ำกว่าเหล้ากลั่นหรือเหล้าขาวอยู่แล้ว จึงไม่มีการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อพฤติกรรมการดื่มของประชาชนบ้าง โดยผู้บริโภคอาจหันมาดื่มเบียร์เพิ่มขึ้น
ด้านนายวิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสุราขาวและเหล้าสี เช่น แม่โขง แสงโสม กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับภาษีสุรา ซึ่งเบื้องต้นเมื่อภาษีเพิ่มขึ้นก็จำเป็นต้องปรับราคาขายตามต้นทุนที่สูงขึ้นไปด้วย แต่คงต้องขอดูหลักการที่ชัดเจนก่อนจึงจะตอบได้ว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด และจำนวนเท่าใด เพราะต้องคำนวณตัวเลขตามสูตรก่อน โดยบริษัทเตรียมเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ และหารือถึงการปรับราคาสินค้าก่อนตัดสินใจ
“เรายังไม่ได้คำนวณว่าการขึ้นภาษีในครั้งนี้จะต้องปรับราคาขึ้นเท่าไร เพราะต้องรอผลการประชุมอีกครั้ง แต่ยอมรับว่าการขึ้นราคาสินค้าจะส่งผลให้ผู้บริโภคดื่มเหล้าลดลงอย่างแน่นอน” นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนนายฉัตรชัย วิรัตนโยสินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีเหล้าขาวจาก 70 บาท เป็น 110 บาทต่อลิตรต่อปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 100% แสดงให้เห็นชัดว่ามีการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเหล้าขาว เนื่องจากการปรับราคาน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีในเหล้ากลุ่มอื่นๆ และไม่ได้มีการนำเอาหลักการจัดเก็บภาษีตามดีกรีแอลกอฮอล์มาใช้ในการปรับภาษีครั้งนี้ ส่งผลให้การปรับภาษีเหล้าขาวดังกล่าวไม่ได้เอื้อให้อุตสาหกรรมมีการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์กติกาเดียวกัน
“การปรับภาษีครั้งนี้ แสดงให้เห็นชัดว่ายังมีการอุ้มผู้ประกอบการบางราย ที่ใช้เรื่องของเหล้าชุมชนมาบังหน้า เพราะราคาที่แท้จริงควรอยู่ที่ 240 บาทต่อลิตร เป็นอย่างน้อย เพราะเหล้าในกลุ่มอื่นๆ เสียภาษีสูงกว่ามาก ซึ่งทำให้ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขัน” นายฉัตรชัย กล่าว
ขณะที่ น.ส.ศนิตา คาจิจิ รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ดิอาจิโอ โมเอท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและทำตลาดเหล้ายี่ห้อตระกูลจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กล่าวว่า การที่ ครม.อนุมัติให้มีการปรับภาษีเหล้าเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการทำตลาดของสินค้าในกลุ่มนี้ ส่วนที่ผู้ประกอบการรายใดจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก็อยู่ที่กลยุทธ์ของแต่ละบริษัทมากกว่าว่าจะนำกลยุทธ์ในเรื่องใดมาใช้ เพราะต้องมีการคำนึงถึงกฎเกณฑ์ที่ภาครัฐประกาศออกมาบังคับใช้
ด้าน นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวถึงการขึ้นภาษีเหล้าว่า การปรับโครงสร้างภาษีเหล้าขึ้นถือว่าดี แต่ไม่ได้ดีมาก เนื่องจากมีการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการขึ้นแบบภาพลวงตา ไม่ได้ขึ้นเต็มเพดานอย่างที่กรมสรรพสามิตพยายามจะบอก โดยไปปรับขึ้นในมุมที่ไม่ได้ใช้มากกว่า ทำให้หากพิจารณาแล้วจะพบว่าทุกรายการสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก เช่น สุราขาว ความจริงควรขึ้นภาษาตามปริมาณ จาก 110 บาท เป็น 400 บาท เพราะเหล้าชนิดอื่นขึ้นเต็มเพดานเป็น 400 บาทหมด แต่กรมสรรพสามิตเสนอเพิ่มขึ้นภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 ทำให้ในเชิงปริมาณเหล้าขาวยังถูกกว่าสุราชนิดอื่นเช่นเดิม นอกจากนี้ ในส่วนที่ควรจะต้องปรับอัตราภาษีเพิ่ม คือ เบียร์ แต่ก็ไม่ปรับ อ้างว่าปรับขึ้นเต็มเพดานแล้ว แต่ความจริงอัตราภาษีตามมูลค่าของเบียร์อยู่ที่ ร้อยละ 55 สามารถปรับเพิ่มได้อีกเป็นร้อยละ 60 แต่ก็ไม่มีการปรับเพิ่มในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีผู้ดื่มเบียร์จำนวนมาก "สังคมยังต้องจับตามองต่อไป เพราะว่าการขึ้นภาษีสุราครั้งนี้ แม้ว่าจะดีที่ปรับขึ้น แต่ยังขึ้นไม่มากนัก เหมือนเป็นภาพลวงตาว่าได้ขึ้นแล้วเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังสามารถขึ้นได้อีกมาก จึงจะต้องช่วยกันจับตามอง เพื่อให้มีการปรับโครงสร้างภาษีสุราเพิ่มขึ้นอีก" นพ.บัณฑิต กล่าว
-->
ครม.ไฟเขียวปรับเพิ่มภาษีเหล้าขาวเท่าตัว รีดภาษีบุหรี่เต็มเพดาน หวังสกัดขี้เมา-สิงอมควัน
ด้านผู้ประกอบการเตรียมหารือปรับราคา ติงรัฐไม่จริงใจในการขึ้นราคาเหล้าขาว ขณะที่ศูนย์วิจัย
ปัญหาสุราระบุรัฐสร้างภาพลวงตาในการขึ้นภาษี เพราะขึ้นไม่เต็มเพดาน
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.)
มีมติเห็นชอบให้มีการปรับอัตราภาษีสุราและยาสูบ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการควบคุมการบริโภคสุราและยาสูบให้อยู่ในระดับเหมาะสม
และทำให้สะท้อนถึงความแรงของแอลกอฮอล์มากยิ่งขึ้น กระทรวงการคลังจึงดำเนินการปรับ
ขึ้นอัตราภาษีสุราและยาสูบ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ทันที
ทั้งนี้ การปรับภาษีดังกล่าว ได้แก่
1.สุราขาว จากเดิมจัดเก็บภาษีตามมูลค่าในอัตรา 25% และอัตราตามปริมาณ 70 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพิ่มขึ้นเป็นคิดตามมูลค่า 50% และเก็บตามปริมาณเพิ่มเป็น 110 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกสุราขาว 28-40 ดีกรี ขนาด 0.625 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 9-12 บาทต่อขวด
2.สุราผสม จากเดิมเก็บภาษีในอัตรา 50% และเก็บตามปริมาณ 240 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์นั้น ได้ปรับเพิ่มในส่วนของการเก็บตามปริมาณเป็น 280 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ส่งผลให้ราคาขายปลีกสุราผสม 28-35 ดีกรี ขนาด 0.625 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 9-12 บาทต่อขวด
3.สุราพิเศษประเภทบรั่นดีจากเดิมเก็บภาษีตามมูลค่าในอัตรา 40% และจัดเก็บตามปริมาณ 400 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพิ่มเฉพาะในส่วนของการจัดเก็บตามมูลค่าเป็น 45% ส่วนตามปริมาณคงเดิม ส่งผลให้ราคาขายปลีกบรั่นดี 38-40 ดีกรี ขนาด 0.640 ลิตร เพิ่มขึ้นประมาณ 0-91 บาทต่อขวด
4.ปรับเพิ่มค่าแสตมป์ยาสูบชนิดบุหรี่ซิกาแรต จากเดิมจัดเก็บตามมูลค่าที่ 79% เพิ่มเป็น 80% เต็มเพดาน ส่งผลให้ราคาขายปลีกบุหรี่ในประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 บาทต่อซอง และบุหรี่นำเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 บาทต่อซอง
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ผลจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีสุราและยาสูบดังกล่าวเป็นอัตราที่เหมาะสม น่าจะช่วยให้ปริมาณการบริโภคสุราลดลงประมาณ 60-65 ล้านลิตรต่อปี และการบริโภคยาสูบประเภทซิกาแรตจะลดลงประมาณ 20 ล้านซองต่อปี อีกทั้งยังช่วยลดรายจ่ายของรัฐบาลด้านการรักษาผู้ป่วยด้วย ขณะเดียวกัน ส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้จากการปรับเพิ่มภาษี 2 ประเภท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาทต่อปี
ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับประโยชน์ครั้งนี้ คือ เบียร์ ไวน์ สาโท อุ กระแช่ สปาย เนื่องจากต้องการสนองนโยบายรัฐที่ต้องการให้ประชาชนดื่มเหล้าดีกรีต่ำแทนดีกรีสูงที่ทำลายสุขภาพมากกว่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ได้มีการพิจารณาว่าจะปรับขึ้นภาษีเบียร์ด้วย แต่พบว่าขณะนี้เบียร์ ซึ่งจัดเก็บภาษีตามมูลค่าเมื่อแปรมาเป็นการจัดเก็บตามปริมาณจ่ายภาษีสูงกว่าเหล้ากลั่นอยู่กว่า 320 บาทต่อลิตร อีกทั้งดีกรีเบียร์ก็ต่ำกว่าเหล้ากลั่นหรือเหล้าขาวอยู่แล้ว จึงไม่มีการปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้ ซึ่งอาจมีผลต่อพฤติกรรมการดื่มของประชาชนบ้าง โดยผู้บริโภคอาจหันมาดื่มเบียร์เพิ่มขึ้น
ด้านนายวิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายสุราขาวและเหล้าสี เช่น แม่โขง แสงโสม กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปรับภาษีสุรา ซึ่งเบื้องต้นเมื่อภาษีเพิ่มขึ้นก็จำเป็นต้องปรับราคาขายตามต้นทุนที่สูงขึ้นไปด้วย แต่คงต้องขอดูหลักการที่ชัดเจนก่อนจึงจะตอบได้ว่าจะปรับขึ้นเมื่อใด และจำนวนเท่าใด เพราะต้องคำนวณตัวเลขตามสูตรก่อน โดยบริษัทเตรียมเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ และหารือถึงการปรับราคาสินค้าก่อนตัดสินใจ
“เรายังไม่ได้คำนวณว่าการขึ้นภาษีในครั้งนี้จะต้องปรับราคาขึ้นเท่าไร เพราะต้องรอผลการประชุมอีกครั้ง แต่ยอมรับว่าการขึ้นราคาสินค้าจะส่งผลให้ผู้บริโภคดื่มเหล้าลดลงอย่างแน่นอน” นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนนายฉัตรชัย วิรัตนโยสินทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีเหล้าขาวจาก 70 บาท เป็น 110 บาทต่อลิตรต่อปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 100% แสดงให้เห็นชัดว่ามีการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจเหล้าขาว เนื่องจากการปรับราคาน้อยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีในเหล้ากลุ่มอื่นๆ และไม่ได้มีการนำเอาหลักการจัดเก็บภาษีตามดีกรีแอลกอฮอล์มาใช้ในการปรับภาษีครั้งนี้ ส่งผลให้การปรับภาษีเหล้าขาวดังกล่าวไม่ได้เอื้อให้อุตสาหกรรมมีการแข่งขันภายใต้กฎเกณฑ์กติกาเดียวกัน
“การปรับภาษีครั้งนี้ แสดงให้เห็นชัดว่ายังมีการอุ้มผู้ประกอบการบางราย ที่ใช้เรื่องของเหล้าชุมชนมาบังหน้า เพราะราคาที่แท้จริงควรอยู่ที่ 240 บาทต่อลิตร เป็นอย่างน้อย เพราะเหล้าในกลุ่มอื่นๆ เสียภาษีสูงกว่ามาก ซึ่งทำให้ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขัน” นายฉัตรชัย กล่าว
ขณะที่ น.ส.ศนิตา คาจิจิ รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ดิอาจิโอ โมเอท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและทำตลาดเหล้ายี่ห้อตระกูลจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กล่าวว่า การที่ ครม.อนุมัติให้มีการปรับภาษีเหล้าเพิ่มขึ้น จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการทำตลาดของสินค้าในกลุ่มนี้ ส่วนที่ผู้ประกอบการรายใดจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก็อยู่ที่กลยุทธ์ของแต่ละบริษัทมากกว่าว่าจะนำกลยุทธ์ในเรื่องใดมาใช้ เพราะต้องมีการคำนึงถึงกฎเกณฑ์ที่ภาครัฐประกาศออกมาบังคับใช้
ด้าน นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวถึงการขึ้นภาษีเหล้าว่า การปรับโครงสร้างภาษีเหล้าขึ้นถือว่าดี แต่ไม่ได้ดีมาก เนื่องจากมีการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการขึ้นแบบภาพลวงตา ไม่ได้ขึ้นเต็มเพดานอย่างที่กรมสรรพสามิตพยายามจะบอก โดยไปปรับขึ้นในมุมที่ไม่ได้ใช้มากกว่า ทำให้หากพิจารณาแล้วจะพบว่าทุกรายการสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก เช่น สุราขาว ความจริงควรขึ้นภาษาตามปริมาณ จาก 110 บาท เป็น 400 บาท เพราะเหล้าชนิดอื่นขึ้นเต็มเพดานเป็น 400 บาทหมด แต่กรมสรรพสามิตเสนอเพิ่มขึ้นภาษีตามมูลค่าจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 50 ทำให้ในเชิงปริมาณเหล้าขาวยังถูกกว่าสุราชนิดอื่นเช่นเดิม
นอกจากนี้ ในส่วนที่ควรจะต้องปรับอัตราภาษีเพิ่ม คือ เบียร์ แต่ก็ไม่ปรับ อ้างว่าปรับขึ้นเต็มเพดานแล้ว แต่ความจริงอัตราภาษีตามมูลค่าของเบียร์อยู่ที่ ร้อยละ 55 สามารถปรับเพิ่มได้อีกเป็นร้อยละ 60 แต่ก็ไม่มีการปรับเพิ่มในส่วนนี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมีผู้ดื่มเบียร์จำนวนมาก "สังคมยังต้องจับตามองต่อไป เพราะว่าการขึ้นภาษีสุราครั้งนี้ แม้ว่าจะดีที่ปรับขึ้น แต่ยังขึ้นไม่มากนัก เหมือนเป็นภาพลวงตาว่าได้ขึ้นแล้วเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังสามารถขึ้นได้อีกมาก จึงจะต้องช่วยกันจับตามอง เพื่อให้มีการปรับโครงสร้างภาษีสุราเพิ่มขึ้นอีก" นพ.บัณฑิต กล่าว
[/TD] [/TBODY]
ตอรแรกนึกว่าบุหรี่จะขึ้นราคาเหี้ยมๆ แต่ขึ้นติ๊ดนึง
ใครจะเก็บ vodka รีบๆเข้านะครับ เพราะไม่รู้มีผลเปล่า
เพราะถ้ามีผลราคาพวกยี่ห้อดีๆนี่ราคาคงจะไปโหด
ผมเก็บมาแล้ว 2 ลิตร ใครจะไปนอกไม่ซื้อเหล้าก็
จะขอฝากอีกคับ อยากได้อีกซัก 2 ขวด
ถ้าใครจะซื้อ vodka ก็แนะนำซื้อแบบนี้นะครับ
ซื้อ Dutyfree ลิตรละ 550 บาท ถ้าซื้อในไทย
0.75 ขวดละ 700 ปลายๆถ้ารถแปลกๆมี 800 up
ซื้อที่รางน้ำหรือสนามบินไม่เกิน 20000 ฝากไว้ได้
มารับตอนบินกลับมาไทยแล้ว
อ๋อลืมบอกถือเข้าได้คนละขวดนะครับ ไม่เกินลิตรด้วย
เกินกว่านั้นโดนยึดคับ