- กระทู้ ผู้เขียน
- #1
ต้องเกิ่นกร่อนว่าแม่ผมจบปวส พาณิชย์ ทำงานเป็นข้าราชการมา เป็นสิบสิบปี
สิ่งหนึ่งที่แม่ผมเป็น คือ แกฉลาด คิดทุกเรื่อง และ ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
จนบางครั้ง บางเรื่อง แกก็คิดมาก ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อย ๆ จน พี่ ผม และ น้อง
ต่างลงความเห็นว่าแกเป็นคนคิดมากตามประสา คนสูงอายุ แต่แล้วจนวันหนึ่งที่ทำให้ผมและพี่ได้คิด
วันหนึ่งที่ ราวตาผ้าเสีย คือ ข้อต่อมันหัก แล้วแม่ก็เรียกผม กับ พี่ ไปช่วยซ่อม
ผม พี่ ต่างลงความเห็นว่าเราก็ไปซื้อ ท่อต่อ และ น้ำยาประสานท่อ
อนิจจาร้านก่อสร้างใกล้บ้านปิด เราพี่น้องก็เลยบอกแม่ว่าเด๋วค่อยทำและกันนะแม่
แม่ตอบว่าแม่แกจะทำต่อ เราสองคนก็โฮ่แม่จะทำไปทำไมนะ ทำไม่ได้หรอก
แม่ตอบว่า " เราไม่ต้องช่วยหรอก เชื่อไหมว่าให้เวลาแม่ และแม่จะทำให้ดู แม่ทำได้"
สิ่งที่ผมและผมก็คิดว่าพี่ก็คิดเหมือนกันคือ
ผมจบปริญญาตรีวิศวไฟฟ้า พี่ผมจบตรีวิศวเครื่องกล และ โทวิศววัสดุศาสตร์
และมองดูผู้หญิงวัยห้าสิบกว่า ๆ ผู้คลอดเรามา และ จบ ปวส พาณิชย์
และก็คิดในใจว่า แกไม่มีทางทำได้หรอก และเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องไป
ผมบอกพี่ว่า "ไม่มีข้อต่อท่อแกจะทำได้เหรอ "
พี่ " ให้แกทำไปเหอะ แกชอบดึงดัน และ เอ็งก็รู้นี่ว่าแม่คิดมาก ปล่อยแกไปเหอะ"
ผม " เออ จิงเนอะ ปล่อยแกไปเหอะ"
เวลาถัดมาผมก็ออกมาดูแม่ ปรากฏว่าแม่ใช้เทปพันสายไฟพันตรงรอยหัก
ผมบอกแม่ " แม่มันไม่อยู่หรอกนะ ไอ้เทปพันสายไฟนะ"
แม่บอกว่า "ลองดูก่อน เรานะเข้าห้องไป ปล่อยแม่ ถ้ามันไม่อยู่ แม่ก็จะเปลี่ยนวิธี"
ผมยิ้มและคิดในใจ อ๊ะปล่อยแกไปดีกว่า
ผมออกมาอีกที ก็เห็น แกใช้ลวดพันตรงข้อต่อแทน คิดในใจว่ามันไม่อยู่หรอก
แต่ไม่พูดอะไรดีกว่า เด๋วโดนบ่น ว่าแล้วก็เข้าห้องไป
เวลาผ่านไป ผ่านไป จนเกือบค่ำ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังรบราไม่เลิกกับราวตากผ้า
จนผมได้ยินเสียงแม่เรียก ผม กับ พี่ ให้ไปดู
ผมนึกในใจว่าคิดว่าแม่คงจะบอกว่าทำไม่ได้แล้ว เด๋วพรุ่งนี้ไปซื้อข้อต่อและทำให้แม่ที
ผิดครับ ภาพที่เห็นก็คือ
ราวตากผ้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้ และอะไรคือข้อต่อมันละ?????????
สายยางคับ สายยาง แม่ตัด และเอามาเป็นข้อต่อ
ผมและพี่ต่างก็อึ้งกิมกี่ ผมคิดในใจ " โห แม่กูคิดอะไรถึงขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย"
สิ่งที่ได้ก็คือผมกับพี่ยึดติดกับเรื่องการศึกษา ว่าจบวิศว
กลับถูกแม่จบ ปวส พานิชย์ สอนเรื่องราวตากผ้า
และก็ยังไปยึดติดกับ " ถ้าไม่มีข้อต่อ นะ ทำไม่ได้หรอก"
บางทีการศึกษาบางครั้งมันก็เป็นกรอบที่ทำให้เรายึดติด
อีกอย่างที่ผมคิดได้ก็คือ บางครั้งเราก็เลือกแก้ปัญหาโดยเพิ่มปัญหาใหม่
ตอนแรกปัญหาคือ " จะซ่อมราวผ้า ยังไงดีนะ"
แต่ต่อมาผม สร้างปัญหาใหม่ " ถ้าไม่มีข้อต่อ ก็ทำไม่ได้"
ฟังดูเหมือนมีเหตุผล แต่จิงจิงเป็นความมักง่าย และจบในตัวเอง ผมว่ามันงี่เง่าวะ
แต่แม่ไม่ แม่ไม่หลงประเด็น ปัญหา แม่ แก้ แก้ไม่ได้ แกก็เปลี่ยนทาง
และมีอีกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ สอนผมว่า
" คลิบหนีบกระดาษ สามารถ เอามาเดินสายโทรศัพท์ได้ ยามไม่มีกิ๊บตอกสายโทรศัพท์"
แกเอาไปเหน็บกับคานไม้ที่ติดผนัง ไม่ใช้ค้อน ไม่ใช้ตะปู
ถึงแม้จะเดินไปไม่ได้สุด แต่ก็ทำให้รู้ว่าคลิบมันเอาไปเดินได้ไงวะเนี่ย
ประโยคของแม่ที่ว่า " เราไม่ต้องช่วยหรอก เชื่อไหมว่า ให้เวลาแม่ แล้วแม่จะทำให้ดู แม่ทำได้"
ผมจะจำไว้จนตายเลย
และอยากบอกแม่ว่า ถึงแม้ว่าลูกคนนี้จะไม่ได้ฉลาด และเข้มแข็งเท่ากับแม่
แต่แปลนเขียวทางความคิดที่แม่ให้ไว้ ผมจะพยายามใช้ให้เป็นประโยชน์คับ
และสุดท้ายคือ
รัก แม่ มาก มาก คับ
Alone
--------------
ที่มา http://www.deedeejang.com/article/article/00080.html
สิ่งหนึ่งที่แม่ผมเป็น คือ แกฉลาด คิดทุกเรื่อง และ ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
จนบางครั้ง บางเรื่อง แกก็คิดมาก ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อย ๆ จน พี่ ผม และ น้อง
ต่างลงความเห็นว่าแกเป็นคนคิดมากตามประสา คนสูงอายุ แต่แล้วจนวันหนึ่งที่ทำให้ผมและพี่ได้คิด
วันหนึ่งที่ ราวตาผ้าเสีย คือ ข้อต่อมันหัก แล้วแม่ก็เรียกผม กับ พี่ ไปช่วยซ่อม
ผม พี่ ต่างลงความเห็นว่าเราก็ไปซื้อ ท่อต่อ และ น้ำยาประสานท่อ
อนิจจาร้านก่อสร้างใกล้บ้านปิด เราพี่น้องก็เลยบอกแม่ว่าเด๋วค่อยทำและกันนะแม่
แม่ตอบว่าแม่แกจะทำต่อ เราสองคนก็โฮ่แม่จะทำไปทำไมนะ ทำไม่ได้หรอก
แม่ตอบว่า " เราไม่ต้องช่วยหรอก เชื่อไหมว่าให้เวลาแม่ และแม่จะทำให้ดู แม่ทำได้"
สิ่งที่ผมและผมก็คิดว่าพี่ก็คิดเหมือนกันคือ
ผมจบปริญญาตรีวิศวไฟฟ้า พี่ผมจบตรีวิศวเครื่องกล และ โทวิศววัสดุศาสตร์
และมองดูผู้หญิงวัยห้าสิบกว่า ๆ ผู้คลอดเรามา และ จบ ปวส พาณิชย์
และก็คิดในใจว่า แกไม่มีทางทำได้หรอก และเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องไป
ผมบอกพี่ว่า "ไม่มีข้อต่อท่อแกจะทำได้เหรอ "
พี่ " ให้แกทำไปเหอะ แกชอบดึงดัน และ เอ็งก็รู้นี่ว่าแม่คิดมาก ปล่อยแกไปเหอะ"
ผม " เออ จิงเนอะ ปล่อยแกไปเหอะ"
เวลาถัดมาผมก็ออกมาดูแม่ ปรากฏว่าแม่ใช้เทปพันสายไฟพันตรงรอยหัก
ผมบอกแม่ " แม่มันไม่อยู่หรอกนะ ไอ้เทปพันสายไฟนะ"
แม่บอกว่า "ลองดูก่อน เรานะเข้าห้องไป ปล่อยแม่ ถ้ามันไม่อยู่ แม่ก็จะเปลี่ยนวิธี"
ผมยิ้มและคิดในใจ อ๊ะปล่อยแกไปดีกว่า
ผมออกมาอีกที ก็เห็น แกใช้ลวดพันตรงข้อต่อแทน คิดในใจว่ามันไม่อยู่หรอก
แต่ไม่พูดอะไรดีกว่า เด๋วโดนบ่น ว่าแล้วก็เข้าห้องไป
เวลาผ่านไป ผ่านไป จนเกือบค่ำ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังรบราไม่เลิกกับราวตากผ้า
จนผมได้ยินเสียงแม่เรียก ผม กับ พี่ ให้ไปดู
ผมนึกในใจว่าคิดว่าแม่คงจะบอกว่าทำไม่ได้แล้ว เด๋วพรุ่งนี้ไปซื้อข้อต่อและทำให้แม่ที
ผิดครับ ภาพที่เห็นก็คือ
ราวตากผ้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้ และอะไรคือข้อต่อมันละ?????????
สายยางคับ สายยาง แม่ตัด และเอามาเป็นข้อต่อ
ผมและพี่ต่างก็อึ้งกิมกี่ ผมคิดในใจ " โห แม่กูคิดอะไรถึงขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย"
สิ่งที่ได้ก็คือผมกับพี่ยึดติดกับเรื่องการศึกษา ว่าจบวิศว
กลับถูกแม่จบ ปวส พานิชย์ สอนเรื่องราวตากผ้า
และก็ยังไปยึดติดกับ " ถ้าไม่มีข้อต่อ นะ ทำไม่ได้หรอก"
บางทีการศึกษาบางครั้งมันก็เป็นกรอบที่ทำให้เรายึดติด
อีกอย่างที่ผมคิดได้ก็คือ บางครั้งเราก็เลือกแก้ปัญหาโดยเพิ่มปัญหาใหม่
ตอนแรกปัญหาคือ " จะซ่อมราวผ้า ยังไงดีนะ"
แต่ต่อมาผม สร้างปัญหาใหม่ " ถ้าไม่มีข้อต่อ ก็ทำไม่ได้"
ฟังดูเหมือนมีเหตุผล แต่จิงจิงเป็นความมักง่าย และจบในตัวเอง ผมว่ามันงี่เง่าวะ
แต่แม่ไม่ แม่ไม่หลงประเด็น ปัญหา แม่ แก้ แก้ไม่ได้ แกก็เปลี่ยนทาง
และมีอีกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ สอนผมว่า
" คลิบหนีบกระดาษ สามารถ เอามาเดินสายโทรศัพท์ได้ ยามไม่มีกิ๊บตอกสายโทรศัพท์"
แกเอาไปเหน็บกับคานไม้ที่ติดผนัง ไม่ใช้ค้อน ไม่ใช้ตะปู
ถึงแม้จะเดินไปไม่ได้สุด แต่ก็ทำให้รู้ว่าคลิบมันเอาไปเดินได้ไงวะเนี่ย
ประโยคของแม่ที่ว่า " เราไม่ต้องช่วยหรอก เชื่อไหมว่า ให้เวลาแม่ แล้วแม่จะทำให้ดู แม่ทำได้"
ผมจะจำไว้จนตายเลย
และอยากบอกแม่ว่า ถึงแม้ว่าลูกคนนี้จะไม่ได้ฉลาด และเข้มแข็งเท่ากับแม่
แต่แปลนเขียวทางความคิดที่แม่ให้ไว้ ผมจะพยายามใช้ให้เป็นประโยชน์คับ
และสุดท้ายคือ
รัก แม่ มาก มาก คับ
Alone
--------------
ที่มา http://www.deedeejang.com/article/article/00080.html